ถอยกลับไป 1978 คุณฟังเพลงอะไรกันอยู่…. วันนั้นเป็นยุคทองของดนตรีดิสโก้ ไม่แปลกเมื่ออันดับเพลงยอดนิยมตอนสิ้นปีของ Billboard Hot100 ศิลปินสายดิสโก้จะมีส่วนแบ่งมากจนน่าแปลกใจ Bee Gees; Donna Summer; Village Peoples; Chic; Gloria Gaynor; Alicia Bridges แม้แต่นักร้องนักดนตรีสายหลักทั้งหมดยังปรับตัวเข้าหา (ตามใบสั่ง) Rod Stewart; Blondie; Kiss; Dr.Hook ฯลฯ สำหรับงานของศิลปินเพลงป๊อปก็ต้องแข็งแรงจริงๆจึงมีส่วนแบ่ง Billy Joel; Elton John; Styx; Neil Diamond; Dionne Warwick เช่นเดียวกับแนว R&B อย่าง Earth, Wind & Fire กับ Raydio (วงของ Ray Parker jr) ใน 100 เพลงที่อาจเรียกว่า ‘ม้ามืด’ 3 เพลงที่สอดแทรกเข้าไป อันดับหนึ่งเป็น ‘ม้ามืด’ แบบไม่มีใครคิดมาก่อน The Knack กับ My Sharona อีก 2 เพลง I Just Wanna Stop ของ Gino Vannelli อันดับที่ 75 และเพลง What You Won’t Do For Love ของ Bobby Caldwell อันดับที่ 59 สองเพลงนี้ไม่เข้าพวกกับอีก 98 เพลงแบบจังๆ เขาเลยแปะว่านี่คือแนว soft rock/blue-eyed soul ที่ต่อมากลายเป็นแนวใหม่ Smooth Jazz …วันนี้ผมขอเขียนถึง Bobby Caldwell เจ้าของเพลง What You Won’t Do For Love เป็นพิเศษ เนื่องด้วยเป็นศิลปินคนโปรดคนหนึ่งของผม และแกเพิ่งจากไปเมื่อคืนวันที่ 14 ที่ผ่านมาในวัย 71 ปี เกิดที่นิวยอร์คแล้วย้ายมาปักหลักที่ไมอามี่ คุณแม่เป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์จัดการเรื่องบ้านให้กับ Bob Marley เลยทำให้ Bobby Caldwell สนิทกับ Bob ได้ฝึกฝนการเล่นกีตาร์ และยึดเป็นอาชีพนักดนตรีแบ๊คอัพในคลับของไมอามี่ ด้วยความสามารถที่โดดเด่น Bobby Caldwell ได้สัญญาบันทึกเสียงกับค่ายเพลงอินดี้ท้องถิ่น TK Records ที่มีศิลปินในสังกัดอย่าง The Hues Corporation’s; KC&The Sunshine Band; George McCrae ฯลฯ งานชุดแรกของ Bobby Caldwell บันทึกเสียงเสร็จในปี 1978 ต้นสังกัดฟังแล้วสรุปว่าเพลงดีหมดแต่ไม่มีเพลงที่จะครีมแท้ๆ Bobby Caldwell จึงต้องแต่งอีกเพลงตามโจทย์ออกมาเป็นเพลง What You Won’t Do For Love ที่ตัวเองไม่ค่อยมั่นใจเท่ากับเพลง My Flame เพราะมีท่อนที่แสดงทักษะการเล่นกีตาร์และ Bobby Caldwell ต้องการแสดงออกในส่วนนี้ ซึ่งเห็นต่างกับต้นสังกัดที่ต่อรองขอให้ What You Won’t Do For Love เป็นซิงเกิลแรก แล้วค่อยตามด้วย My Flame ผลลัพทธ์ออกมาได้ตามเป้า What You Won’t Do For Love ขึ้นถึงอันดับที่ 9 ของ Billboard Hot100 ประจำสัปดาห์ในเดือนกันยายน เนื่องจากน้ำเสียงและแนวดนตรีของเพลงนี้ออกมาทาง R&B ค่ายเพลงต้องการพุ่งเป้าไปที่ตลาดส่วนนี้ซึ่งผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวสี ดังนั้นจะไม่มีภาพตัวจริงของ Bobby Caldwell บนปกอัลบั้ม จนกระทั่ง Bobby ออกทัวร์แบ๊คอัพให้กับ Natalie Cole และได้ร้องเพลงนี้ แฟนเพลงถึงรู้ว่า Bobby Caldwell เป็นคนผิวขาว กลับกลายทำให้ความนิยมขยายไปสู่ตลาดป๊อป เมื่อถึงวันที่ Tk Records ปิดกิจการลง Boz Scaggs ที่เป็นเพื่อนกับ Bobby ก็แนะนำให้เขียนเพลงให้กับศิลปินอื่นๆด้วยอีกทาง The Next Time I Fall คือเพลงที่เขียนให้กับ Amy Grant คู่กับ Peter Cetera และยังมีเพลงที่เขียนให้กับ Chicago; Natalie Cole; Neil Diamond; Roberta Flack; Al Jarreau รวมถึงตัว Boz Scaggs ด้วยเพลง What You Won’t Do For Love กลายเป็นเพลงสัญลักกษณ์ของ Bobby Caldwell มีฉบันบันทึกซ้ำโดย Natalie Cole & Peabo Bryson; Go West; Phyllis Hyman และ samp เป็นเพลง Do For Love โดยศิลปินฮิปฮอป 2 Pac ในปี 1998 Bobby Caldwell ยังมีผลงานเพลง Heart Of Mine; Stuck On You; Fools Rush In; Until You Come Back To Me (เพลงของ Stevie Wonder) ในปี 1996 ได้เปลี่ยนแนวร้องเพลงแนว American Songbook จนถึงปี 2015 ก็เริ่มห่างหายจากวงการ จากสภาพสุขภาพที่มีปัญหาแพ้ยาจากการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในร่างกายตลอดระยะเวลากว่า 6 ปี และเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา Bobby Caldwell ก็จากไปอย่างสงบที่บ้านพักในนิวเจอร์ซี่ย์ อายุ 71 ปี เป็นนักร้องขวัญใจแฟนเพลงชาวญี่ปุ่น ได้รับสมญาว่า ‘Mister AOR (ย่อมาจาก Adult Oriented Rock) ที่นั่น สำหรับในบ้านเกิด Bobby Caldwell คือ R&B Crooner มิวสิควีดิโอฉบับดั้งเดิมปี 1979 youtube แล้วท่านละเคย What You Won’t Do, Do For Love บ้างไหมครับ…..เป็นเลิศ หทัยเฑียร