“ถ้าคุณเป็นคนดำ มันไม่มีหรอกความยุติธรรม ไม่มีเลย” ไมล์ส เดวิส (Miles Davis )พูดหลังโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กวิ่งเอาไม้มาฟาดหัว
ถึงจะเป็นยอดศิลปินทรัมเป็ตแจ๊สระดับตำนาน แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับโลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมและความโหดร้ายสำหรับคนผิวดำ แน่นอนว่าการต่อสู้เพื่อสิทธิและความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติเป็นสิ่งที่เดวิสต้องต่อสู้มาตลอดเส้นทางอาชีพ
ย้อนกลับไปในยุค 50s-60s แจ๊สกลายเป็นสุ้มเสียงและดนตรีกระแสหลักของวงการเพลง ความนิยมของดนตรีชนิดนี้สร้างนักดนตรีผิวสีธรรมดาหลายคนให้กลายเป็นดาวในชั่วข้ามคืน บนถนนสาย 52 ในนิวยอร์ก ซิตี้ ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนนครเมกกะแห่งวงการดนตรีโลกขณะนั้น ทุกคืนเหล่าหนุ่มสาวจากทั่วประเทศ รวมถึงบรรดาคนใหญ่คนโตในฝั่งอีสต์โคสต์ ทุกคนล้วนต้องมาที่นี่เพื่อฟังเสียงทรัมเป็ตอันลุ่มลึกของเดวิส
เดวิสได้รับการยกย่องในหลาย ๆ ชื่อ เขาเป็นทั้งนักปฏิวัติวงการเพลง และชายที่พาดนตรีแจ๊สไปข้างหน้าเสมอ หลังความสำเร็จจากอัลบั้มที่นำหลักการดนตรีคลาสสิกสมัยใหม่มาผสมรวมกับดนตรีบีบ็อบที่กำลังเป็นที่นิยม อย่าง Birth of The Cool รวมถึงผลงานระดับมาสเตอร์พีซกับค่ายเพรสทีจ อย่าง Walkin’, Workin’ หรือ Relaxin’ ทั้งหมดล้วนสะท้อนความมั่งคั่งของชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี
เดวิสก็เหมือนกับศิลปินดัง ๆ จำนวนมากที่พอมีเงินมหาศาล ส่วนใหญ่ก็จะหมดไปกับการสั่งตัดสูทราคาแพง หรือซื้อรถซูเปอร์คาร์ อย่างเฟอร์รารี่ หรือแลมโบกินี ไว้ขับเล่น ๆ ในแมนฮัทตัน
นิวยอร์กถือเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ และเป็นเมืองที่มีคนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาอาศัยอยู่ แน่นอนวัฒนธรรมของที่นี่จะเปิดกว้างและแตกต่างจากรัฐอื่น แต่ในความศิวิไลซ์ของเมืองบิ๊กแอปเปิ้ลแห่งนี้ ความมั่งคั่งของศิลปินผิวสีคนหนึ่ง บางครั้งก็ไปกระตุ้นความหมั่นไส้ของคนผิวขาวจำนวนหนึ่งที่อคติกับคนผิวสีเป็นพื้นฐาน
แม้ในยุค 50s ตอนปลาย จะเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐมีกฎหมายเลิกทาส รวมถึงมีวัฒนธรรมและการปฏิบัติตัวต่อคนผิวสีที่เปลี่ยนไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเหยียดเชื้อชาติยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมสหรัฐ (จนถึงปัจจุบัน) ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคมปี 1959 เดวิสที่กำลังไต่ขึ้นไปอยู่บนความสูงของยอดเขาที่เรียกว่าความสำเร็จ หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เขาบันทึกเสียงผลงานอันเป็นสัญลักษณ์ของตัวเองอย่าง Kind of Blue เชื่อหรือไม่ว่าเดวิสต้องพบกับเรื่องช็อก เพราะเขาถูกทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ!
“ผมเพิ่งเสร็จจากการเล่นใน Armed Forces Day คุณนึกออกไหม Voice of America อะไรไร้สาระเทือกนั้น คืนนั้นผมเดินไปส่งผู้หญิงน่ารักผิวขาว ชื่อ จูดี้ ขึ้นแท็กซี่ ผมยังยืนอยู่ตรงนั้นตอนเธอขึ้นรถไปแล้ว ผมตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะมันเป็นคืนที่ร้อนและชื้นมากในเดือนสิงหาคม อยู่ ๆ ก็มีตำรวจผิวขาวเดินเข้ามาหาผมบอกให้ผมไปซะ ผมเลยพูด ‘ไปไหน เพื่ออะไร ผมทำงานอยู่ข้างล่างนี่ มีชื่อผมอยู่บนนั้นไง เห็นไหม Miles Davis’ ผมชี้ไปบนป้ายไฟใหญ่เหนือทางเข้าที่มีชื่อผมติดอยู่
“เขาพูดว่า ‘ฉันไม่สนหรอกว่าแกทำงานที่ไหน บอกให้ไปไงล่ะ ถ้าไม่ไปฉันจะจับแกนะ’
“ตอนนั้นผมก็แค่จ้องหน้าเขา จ้องตรง ๆ จ้องเขม็งแบบนั้น และไม่ได้ขยับไปไหนทั้งนั้น เขาก็พูดขึ้นมาเลยว่า ‘แกโดนจับแล้ว!’ เขาเอื้อมหากุญแจมือแต่ถอยหลังไป ส่วนผมเดินไปใกล้เขามากขึ้น เพราะไม่อยากให้มีช่องว่างที่เขาจะตีหัวผมได้ อยู่ ๆ คนก็เริ่มมามุงดูอย่างรวดเร็ว มาจากไหนกันไม่รู้ และอยู่ดี ๆ ก็มีตำรวจอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาแล้ว ปึ้ง! ตีหัวผมเข้าอย่างจัง คือผมไม่เห็นเลยว่ามายังไง ตอนนั้นผมนี่ดาวขึ้นเลย และเลือดก็ไหลใส่สูทสีกากีที่ผมใส่อยู่
“ต่อมาผมถูกพาไปที่สถานีตำรวจใน 54 พรีซิงต์ ที่ที่พวกเขาถ่ายรูปผมขณะที่เลือดไหลอยู่นั่นแหละ ตอนนั้นมีตำรวจพูดกับผมอีกว่า ‘เป็นคนฉลาดมากสินะแกน่ะ’ พวกเขายังยั่วโมโหผม และพยายามจะทำให้ผมคลั่ง เพื่อจะได้ตีหัวผมอีกสักทีมั้ง แต่ผมนั่งนิ่ง สงบสติอารมณ์ คอยดูทุกท่วงท่าที่พวกนี้ทำ
“ผมคิดว่าการกระทำพวกนี้น่าจะเป็นที่อีสต์เซนหลุยส์มากกว่าจะเป็นที่นิวยอร์กเสียอีก มันควรจะเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีความสุขมากที่สุดในโลกหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ ผมถูกล้อมรอบไปด้วยตำรวจผิวขาวพวกนี้ และผมเรียนรู้อยู่อย่างหนึ่ง ถ้าคุณเป็นคนดำ มันไม่มีหรอกความยุติธรรม ไม่มีเลย”
หลังโดนฟาดหัวไปหนึ่งทีเดวิสมูฟออนต่อทันทีไม่กี่เดือนต่อมา เขากับภรรยาคนแรกคือฟรานเซสเดินทางไปบาร์เซโลน่าที่นั่นเดวิสได้พบกับดนตรีฟลาแมงโก้จนมันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาทำผลงานนอกกรอบอีกครั้งโดยเป็นการผสมไอเดียระหว่างท่วงทำนองของดนตรีฟลาแมงโก้กับแจ๊สจนสุดท้ายออกมาเป็นอัลบั้มSketches of Spain เมื่อปี 1960